กู่กาสิงห์ ที่เที่ยวร้อยเอ็ด วันนี้ จ.ร้อยเอ็ด จะพาทุกคนไปท่อง ประวัติศาสตร์ ไปพร้อมๆ กัน เพราะเป็นที่ตั้งของกู่กาสิงห์โบราณสถานที่สำคัญในประวัติศาสตร์ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์แห่งหนึ่งที่ยังคงความสวยงามและสมบูรณ์อยู่มาก ๆ ครับ ถ้าอย่างนั้นไปชมกันเลยครับ จะอิ่มแค่ไหน?
ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ความหมายของ อนุสาวรีย์ คือ “วัตถุที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์” ความเข้าใจของคนทั่วไปมักจะนึกถึงรูปปั้นบุคคลที่มีความสำคัญต่อประเทศชาติและบ้านเมือง ส่วนคนธรรมดาไม่ค่อยมีใครสนใจสร้างอนุสาวรีย์ แต่อยู่ในเขตเทศบาลตำบลกู่กาสิงห์ อำเภอเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด ปัจจุบันทุ่งกุลาร้องไห้กำลังก่อสร้าง “อนุสรณ์สถานผู้ก่อตั้งบ้านกู่กาสิงห์” และถือได้ว่าเป็นอนุสรณ์สถานที่เขียนตำนานผู้บุกเบิกทุ่งกุลาร้องไห้แห่งแรกในภาคอีสาน
เที่ยว กู่กาสิงห์ ที่เที่ยวร้อยเอ็ด ชมโบราณสถานสำคัญ
กู่กาสิงห์ ที่เที่ยวร้อยเอ็ด ตั้งอยู่ใน กู่สิงห์ ตำบลกู่กาสิงห์ อำเภอเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด ที่นี่ถือเป็นโบราณสถานแบบขอมโบราณอีกแห่งที่มีขนาดใหญ่และยังคงสภาพดี สำนักโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติที่ 8 อุบลราชธานี สังกัดกรมศิลปากรจึงได้ขุดแต่งและบูรณะให้กู่กาสิงห์มีความสวยงามยิ่งขึ้นเพื่อให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญอีกแห่งของภาคอีสาน
โดยกู่กาสิงห์จะประกอบด้วยปรางค์ 3 องค์ ตั้งอยู่บนฐานศิลาแลงเดียวกัน มีวิหารเป็นรูปสี่เหลี่ยม เรียกว่าบรรณาลัยด้านหน้าทั้งสองด้านรวมกันจะล้อมรอบด้วยกำแพงแก้วมีซุ้มประตูทั้ง 4 ทิศ มีคูเกือกม้าล้อมรอบอีก 1 ชั้น พระปรางค์ประธานหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ปรางค์องค์กลางมีขนาดใหญ่ที่สุด
นอกจากนี้ก็ยังปรากฏลวดลายสลักต่างๆ เช่น ลายกลีบบัวและลายกนก เป็นต้นค่ะ ซึ่งแบบแผนผังและโบราณวัตถุที่พบนั้น บ่งบอกให้ทราบว่า กู่กาสิงห์ ได้รับอิทธิพลจากศิลปะเขมรที่เรียกว่า บาปวน อายุราวๆ ปี พ.ศ.1560-1630 ไว้เพื่อเป็นเทวสถานอุทิศถวายแด่พระอิศวรนั่นเองค่ะ ใครชอบเรียนรู้ประวัติศาสตร์และชอบเที่ยว โบราณสถาน ต้องถูกใจเพราะกู่กาสิงห์นี้ยังถือว่าสมบูรณ์และได้รับการบูรณะมาก “กู่กาสิงห์” เป็นชื่อเรียกมงคล จากหลักฐานทางโบราณคดีพบว่ามีป้อมหินสมัยขอม เชื่อกันว่าคำว่า กู มาจากคำที่ชาวบ้านใช้เรียกป้อมปราการหินโบราณ สิงโต 2 ตัวยืนอยู่ที่ทางเข้าของป้อมปราการตรงกับคติของศิลปะขอม สิงโต เป็นสัตว์ที่มีอำนาจเฝ้าประตู หรือประตูสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เมื่อตั้งเป็นหมู่บ้านจึงเรียกว่า หงส์ ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ประจำท้องถิ่น “บ้านแม่ครัวร้องเพลง”
ที่มาของ “อนุสาวรีย์ผู้ก่อตั้งบ้านกู่กาสิงห์”
แนวคิดในการสร้างอนุสรณ์สถานเพื่อรำลึกถึงบรรพชนผู้บุกเบิกบ้านกู่กาสิงห์เริ่มต้นขึ้นเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2540 โดยครูอมกา แสงงาม หนังสือพิมพ์ท้องถิ่น อ.เกษตรวิสัย จ.ร้อยเอ็ด ลงข่าว ” ประวัติบ้านกู่กาสิงห์ ”
“ณ บัดนี้ เราทั้งหลายจงมีความเจริญร่มเย็นเป็นสุขเถิด เป็นเพราะภูมิปัญญาของบรรพบุรุษของคุณที่คุณเลือกสถานที่นี้เป็นประเทศของคุณและยังคงเจริญรุ่งเรืองต่อไป ดังคำกล่าวที่ว่า ‘ถิ่นกำเนิด อารยธรรมขอม ข้าวหอมกู่กาสิงห์ ทุ่งกุลาทาม มีแหล่งน้ำ ปู ปลา ทวีคูณ มหกรรมรางวัลสุดอลังการพร้อมผ้าไหมเนื้อดีขึ้นชื่อ เราพร้อมหรือยังที่จะลงมือทำ ขอให้เป็นผลดีกับลูกหลานของชาติด้วยการสร้างอนุสรณ์สถานเพื่อน้อมรำลึกถึงคุณงามความดีของท่านหรืออาจสร้างพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นที่แสดงถึงชาติกำเนิดของบรรพบุรุษของท่านเพื่อการศึกษาและการศึกษาของอนุชนในอนาคต ”
จากนั้นนายปริญญา ประสาน อดีตครูใหญ่ โรงเรียนบ้านกู่กาสิงห์ ในปี พ.ศ. 2540 กู่กาสิงห์ได้นำมอบให้ผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ดเป็นประธานในพิธีเปิดอาคารตลาดสดเทศบาลตำบล ปลายปี พ.ศ. 2542 อากะเกิดความคิดที่จะหาทุนสร้างอนุสาวรีย์บรรพชนผู้ก่อตั้งบ้านกู่กาสิงห์ ตั้งโต๊ะรับบริจาคเงินจากชาวบ้าน พ่อค้า แม่ค้า และเจ้าหน้าที่รัฐ จำนวน 10,664 บาท เข้าธนาคารธกส.เพื่อการเกษตรและสหกรณ์ชนบท ชื่อบัญชี “กองทุนอนุสรณ์ร้อยปีบ้านกู่กาสิงห์”
บาบ๋า (พิธีทอดผ้าป่าในเดือน 6 ก่อนทำนา เพื่อความเป็นศิริมงคล ขอให้ไร่นาเจริญ) ปีละ 6,000-7,000 บาท พร้อมเงินกองทุน 81,402 บาท เพื่อสมทบทุนสร้างอนุสาวรีย์ภายในปี 2556 ครูอำคา แสงงาม ประธานสภาวัฒนธรรมตำบลกู่กาสิงห์ ขณะเตรียมสถานที่ก่อสร้างอนุสาวรีย์ นาย ชาวบ้านที่ลงนามและลงประชามติเมื่อปี 2556 ผลปรากฏว่า ร้อยละ 99.98 ของประชากรในหมู่บ้านเห็นด้วยกับการถมหนองน้ำบางส่วนที่อยู่ติดกับหมู่บ้านเพื่อใช้เป็นสถานที่ก่อสร้างอนุสรณ์สถาน และช่างจิตรกรรมและประติมากรรม นายสุริยะ นามวงษ์ ลูกหลานชาวบ้านกู่กาสิงห์เป็นที่ปรึกษาในการออกแบบอนุสาวรีย์
“ในส่วนของแนวคิดการออกแบบนั้น ชาวบ้านต้องการให้เป็นเอกลักษณ์ของคนในท้องถิ่นนั้นๆ ใครมองก็รู้ว่า ตามอนุสาวรีย์ของเจ้าเมืองต่างๆ “คนทุ่งกุลาร้องไห้” ซึ่งผมเห็นว่ามีความเป็นสากลในธรรมชาติมาก ไม่ว่าจะอยู่จังหวัดไหนก็มีบุคลิกเหมือนกันหมด เนื่องจากประติมากรเน้นรูปแบบศิลปะตะวันตก. โดยไม่คิดถึง กลุ่มชาติพันธุ์ ” ครูอาข่ากล่าว
ส่วนงบประมาณในการก่อสร้างอนุสาวรีย์และภูมิทัศน์นั้นใช้งบประมาณ 81,402 บาท จากกองทุนที่ชาวบ้านบริจาคเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน และ 349,500 บาท จากงบประมาณของเทศบาลกู่กาสิงห์ หลังจากนั้นในปลายเดือนธันวาคมจะมีพิธีรำลึกถึงบรรพชนผู้ก่อตั้งบ้านกู่กาสิงห์
ตำนานบรรพชนคนกู่กาสิงห์
กู่กาสิงห์ ที่เที่ยวร้อยเอ็ด หมู่บ้านกู่กาสิงห์กลุ่มแรกตั้งถิ่นฐานโดยผู้บุกเบิกของ สุวรรณภูมิ ผู้เฒ่าผู้แก่ของตำบลกล่าว ต่อมาได้ย้ายไปตั้งถิ่นฐานที่จตุรพัตรพิมานและขุนพรหมพิทักษ์ (ต่อมาเป็นพระธาดาอำนวยเดชสุวรรณธาดา) ประมาณ พ.ศ. 2446 (รัชกาลที่ 5) อาตายายตาแสงลืออยู่จตุรพักตรพิมานได้ 7-8 ปี (ต้นตระกูลศรีคูคา) ปู่อาย (ต้นตระกูลศรีเที่ยง) พ่อใหญ่แพราช (ต้นตระกูลอุปวงศา) และพ่อสัก (สกุลบัวเบิก) หลังจากที่ปู่ศักดิ์กลับมายังจตุรพัตรพิมานตามเดิมแล้วทุ่งกุลาร้องไห้ก็ย้ายไปด้วย กลับไปชำระ ปัจจุบันภาคคุ้มน้อย (ดวงที่ 3) อ้างว่าถูกกดขี่จากผู้ปกครองที่ไม่เป็นธรรม และตั้งชื่อหมู่บ้านว่า “บ้านกู่กาสิงห์” ตามโบราณสถานขอมที่ตั้งอยู่ที่นั่น
ต่อมาเมื่อชาวสุวรรณภูมิทราบว่ามีชาวสุวรรณภูมิอยู่ในบ้านกู่กาสิงห์ซึ่งเป็น หมู่บ้านจำเริญ น้ำเสียไหลออกมาจากที่นั่น หาที่พักไม่ยาก จึงย้ายไปอาศัยในที่อันมีค่าน้อย เมื่อบ้านเรือนหนาแน่นขึ้น ราษฎรจากเมืองจตุรพัตรพิมานจึงย้ายไปอยู่ที่คุ้มหนองกกหรือคุ้มใหญ่ (หมู่ที่ 2) บ้านจานทุ่ง บ้านดงมัน ตำบลสิงห์โคก อำเภอเกษตรวิสัย ท่านมาสร้างเรือนทางทิศพายัพตอนแรกเป็นที่โล่งไม่มีต้นไม้ ส่วนที่มาจากบ้านจานทุ่งนั้นชาวโคราชเรียกว่า “ต้มเดือด” ด้วยภาษาถิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ของชาวโคราช